วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

รู้ไหมว่า บูรพา บางแสน

  • รู้เปล่ามหาวิทยาลัยบูรพาครองอันดับที่ 8 ที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดี่สุดในประเทศไทย
  • น้อยคนนักจะรู้ว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยบูรพา
  • คนที่ไปวิ่งสวนนันทนาการเป็นนิสิต 20% ที่เหลือเป็นบุคคลภายนอก(ถ้าจะมองหนุ่มหล่อๆ ต้องไปตอนนี้ ซึ่งอาจหายากไปสักนิด ดวงตาต้องมีเรด้าร์สูงพอสมควร)
  • 8 กรกฏ วันวิ่งเหยียบ Aเพื่อเป็นความหมายว่าจะได้เกรดเอ นอกจากนี้ก็ต้องเหยียบคำว่า "เส้นชัย" ให้ครบทุกสระและตัวอักษร(สงสารคนเขียนป้ายกันมั่งนะคร้าบ มันเขียนยากกกก)
  • คำว่า "ไปสดใส" ในความหมายของเด็ก "ม.บูรพา" คือไปกินข้าว เล่นเนต พิมพ์งาน เติมน้ำมันรถเครื่อง เดิมทีใช้เป็นที่สิงสถิตย์สำหรับชายหนุ่มไว้เหล่สาว แต่ปัจจุบันฝุ่นเยอะจนไม่อยากไป
  • ปี 1 ทุกคนต้องวิ่งขึ้นเขาสามมุขเค้าเรียกว่าวัน 8 กรกฎ เป็นวันสถาปนาสาบันอุดมศึกษาแห่งแรกที่ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ
  • ในบรรดามหาวิทยาลัยต่างจังหวัดทั้งหมด ม.บูรพาเก่าแก่ที่สุด เพิ่งฉลองครบ50ปีไปเมื่อ พ.ศ.2548
  • เดิมมีโครงการจะสร้างม.บูรพาเป็นอุทยานการศึกษายาวตั้งแต่บางแสนถึงบางพระ(หลายกิโลมากๆ)แต่สุดท้ายได้ มข.กับมช.มาแทน
  • เด็กคณะมนุษย์ เอกญี่ปุ่น มีสอบทุกอาทิตย์ อาทิตย์ไหนไม่มีสอบนอนไม่หลับ...
  • เรื่องแสตนท์เชียร์ต้องยกนิ้วให้คณะสาธารณสุข เพราะสามารถล้มแชมป์18สมัยจากคณะพยาบาลได้ อย่างสวยงาม
  • หลีดโจ๊ก ต้องยกให้ คณะมนุษย์ที่เรียนกว่า โมเดล และ ของคณะศิลปกรรม แข่งกันมมาตลอดถ้าปีไหนมนุษย์ไม่ลงศิลปกรรมก็จะไม่ลงแข่ง(spirit)
  • คณะการจัดการและการท่องเที่ยวมี ไอดอล ส่วนมนุษย์ศาตร์ มีโมเดล ถึงแม้ ไอดอลจะมาทีหลัง แต่เริ่มฮากว่า
  • คณะวิดยาจะมีประเพณีซายน์สักการะ โดยเริ่มตั้งแต่ตี 5 ปี 1 จะต้องวิ่งขึ้นเขา สามมุข ตอนกลางวันมีการลอดซุ้มซายน์ ตอนนี้ไม่มีการลอดซุ้มทรายอีกแล้วเพราะหาดกลายเป็นฟุตบาทไปแล้ว ตอนค่ำก็จะมีการมอบอะตอมโดยรุ่นพี่รหัสจะมอบให้น้องรหัส และรุ่นพี่จะสาดน้ำตาเทียนใส่รุ่นน้องอันนี้ชอบมาก สะจัยยย
  • ตะก่อนมันชื่องานทรายสักการะ (อีก 2 งาน ชื่อ ทรายคืนถิ่น และน้ำใจทราย) แต่มีคนที่ไม่เข้าใจบอก(สั่ง)ว่า ให้ใช้คำว่า ซายน์ การใช้คำว่า ทราย เป็นการเล่นคำพ้องเสียง เพราะอยู่ที่บางแสน จุดเด่นอยู่ที่หาดทราย เปรียบเทียบนิสิตในคณะเป็นดั่งเม็ดทรายมารวมกัน (ทำไมแค่นี้มองเจตนาไม่ออกนะ คนบอก/สั่งน่ะ)
  • ที่นี่มีศูนย์หนังสือจุฬาด้วยนะเออ มีหนังสือให้ท่านเลือกมากมายมีเทคบุคขายด้วย แต่ไม่เห็นมีคนซื้อเลย (ก็กูตกอิ้ง 1 อ่ะ )
  • ห้องสมุดที่นี่เรียกว่าสำนักหอสมุด มี 7 ชั้น ชั้น1ที่นั่งเล่น ชั้น2หนังสือเทคบุค ชั้น3หนังสือภาษาไทย ชั้น4วารสาร ชั้น5หนังสืออ้างอิง ชั้น6อินเตอร์เนต ชั้น7หนังสือเก่า ว่างๆก็ไปบ้างนะ
  • สำนักหอสมุดเป็นห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกและติดท๊อปเท็นของประเทศ โดยมีหนังสือภาษาไทย 254,156 เล่ม ภาษาต่างประเทศ 73,621 เล่ม และก็มีโรงหนังอยู่ชั้น 6 ด้วยนะเออ
  • ที่หาดบางแสน คนขายถั่วมาจากเมืองกุสินารา ส่วนคนขายโรตีมาจากเมืองนิวเดลี แชมพูทวีป (เรื่องจริงนะ แต่จะบอกเพื่อ ? )
  • ตอนนี้สดใสเปลี่ยนไปมาก สาเหตุที่ซอยนั้นชื่อสดใสเพราะเมื่อก่อนมีมินิมาร์ทชื่อว่าสดใส แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
  • วาริชกับวิดวะเค้าไม่ถูกกัน
    • แต่ว่าชวนกันไปสัมมะเรเทเมากันทุกอาทิตย์จนเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตร จะไม่ถกูกันก็เรื่องมองสาวคนเดียวกันแค่นั้นแหละ
  • คณะที่รวมคนหลายๆแบบไว้ด้วยกันคือคณะมนุษย์ คุณจะหาคนคุยด้วยได้ทุกๆเรื่องที่นี่
  • คณะที่มหัศจรรย์ที่สุดคือคณะพยาบาลศาสตร์ บอร์ดไม้ประกอบเหล็กของกองอาคารฯที่ต้องใช้ผู้ชายวิศวะแบกถึงสามคน แต่พยาบาลสามารถใช้ผู้หญิงสองคนแบกได้
  • ตอนนี้คณะพยาบาลเป็นคณะเดียวที่มีหอพักในมหาวิทยาลัยแต่ต่อไปคณะแพทย์ก็จะด้วย(กำลังทำเรื่องขอที่)
  • ปี 46 เด็กคณะวิศวะได้ B ฟิสิกส์ 1 คน และ F 198 คน
  • ปี 50 วิชาอนาโตมีของคณะพยาบาลมีได้ A 3 คน
  • ลานหน้าคณะพยาบาลที่เรียกว่าฟันนี่แลนด์ ล้วนมีแต่อุจจาระสุนัข
  • สวนเกษม หลังคณะมนุษย์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Happy Garden
  • เดี๋ยวนี้เด็ก จ.ชลบุรี เลือกที่จะเรียน ม.บูรพาเกือบ 60%
  • อินเตอร์เนตที่นี่ครอบคลุมเกือบทั้งมอ เป็น wireless แถมเร็วดีด้วย แต่บลอคบิตทอเร้นและบลอคดอทเอ แล้วผมจะเล่นอะไรหล่ะครับท่าน
  • อาคารอนุรักษ์ของคณะพยาบาล เก่าแก่ที่สุดและเคยเป็นตึกของคณะมนุษยศาสตร์ เกือบโดนทุบทิ้งแต่โชคดีที่อาจารย์ภาคประวัติศาสตร์เขียนหนังสือไปท้วงเลย รอดมาได้
  • เจ้าของดั้งเดิม ของตึกอนุรักษ์ของคณะพยาบาล คือ วิทยาลัยบางแสน(ซึ่งจะทำเป็นโรงเรียนเหมือนกับ อีตันของอังกฤษ เกิดในปี 2496ก่อน วศ.บางแสนอีก เปิดสอนได้ประมาณ สิบกว่ารุ่นก่อนจะโอนพื้นที่และอาคารทั้งหมดให้กับวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน )
  • ศาลท่านท้าวมหาพรหม ที่ตึก LRC ของคณะพยาบาลนั้น มีมาก่อนก่อตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน
  • หน้าป้ายคณะพยาบาล ที่มีสี่แยกตลกๆอยู่นั้น ไม่ต้องแปลกใจ เพราะว่าเป็นในอดีตถนนเส้นนี้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนของวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน กับวิทยาลัยบางแสน
  • นิสิตมหาลัยบูรพา กว่า 70% ไม่เคยเข้าชม สถาบันวิทย๋ศาสตร์ทางทะเล (ฟรีเื่เมื่อโชว์บัตรนิสิต)
  • ตึกวิทย์-แพทย์ หมาเยอะมาก (ยิ่งกลางคืนอย่าขับผ่านโดยเด็ดขาด - เพราะทั้งอาจารย์ใหญ่และหมา) น่ากลัว!!!
  • ถ้าจะผ่านหน้าซิกัมหลังหอสมุดปิด หมาจะดุมาก กรุณาสังเกตการณ์หน้าคณะ ถ้ามีชายหนุ่มเตะฟุตบอลกันละก็แปลว่าปลอดภัย
  • หมาประจำตึกวิทย์แพทย์ตัวหนึ่งได้ชื่อว่า "บิ๊กอาย" เนื่องจากมีดวงตาข้างหนึ่งกลมโตเหมือนคนใส่คอนแทคให้ตาโตยังไงยังงั้น(เห็น ปุ๊บรู้ปั๊บเลยล่ะว่าตัวไหน ให้ตายสิ) --->คณะแพทย์วางแผนที่จะเอามาเป็นมาสคอทคณะแพทย์ แต่ไม่ทันการเนื่องจากบรรทัดต่อมา
ปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี 51) ถูกเนรเทศไปอยุ่หอพักพยาบาล เนื่องจากมี "หมีดำ" สุนัขตัวเมียเจ้าถิ่นยึดอำนาจ ไอ้"หมีดำ"ตัวนี้แหละ ที่มีประวัติว่าสามารถเอาชนะคู่ต่อสุ้ที่เค้ามารุมได้ถึง 5 ตัว
   (ถ้าเป็นป้าเล็ก แม่บ้านประจำตึก จะเรียกหมีดำว่า "หมีน้อย" ปัจจุบันคบอยุ่กับไอ้ "สิงโต" สุนัขรุ่นหลาน ลูกของนิ๊งหน่อง)
  • พยาบาลกว่า70% เป็นคนโซนตะวันออกเฉียงเหนือ(หน้าตาบ่งบอกภูมิภาค ฮี่ๆ)
  • วิทย์-กีฬาปี 1 ทุกคนต้องไปวิ่งเขาเขียว(ทำสัตว์บนเขาตกใจโม้ด...)
  • ตึก BS มีคนเห็นคนใส่ชุดขาวเดินไปก็เดินมา(ทำLab ดึก)
  • มุกตลกที่ว่า ขอท้าต่อยกันหลังเซเว่นปิด ใช้ที่ ม.บูรพาไม่ได้เเน่ เพราะเซเว่นใน ม.บู ปิด 4 ทุ่ม(ปัจจุบันยังไม่ทัน 3 ทุ่มก็ปิดแล้ว จะรีบไปไหนคับพี่น้องงง)
  • ไปกินข้าวมันไก่หน้า ม.บู พึงระวัง ถ้าเรื่องมากอาจโดนปังตอได้
  • ซุปเปอร์มาเก็ตในห้างแหลมทองหน้าม.เมื่อก่อนขื่อ saveland แต่ของส่วนใหญ่ราคาเเพงชิบ...ตอนนี้เลยเปลี่ยนเป็นTop Supermarket
  • โรงหนังที่ แหลมทอง (saveland) ถ้าเป็นหนังฝรั่งมักจะเป็นบรรยายไทยเสมอ
  • ห้าง Saveland เปลี่ยนชื่อเป็นห้างแหลมทองมานานแล้ว แต่หลังจากเปลี่ยนอะไรๆมันก็ดีขึ้นนะ
  • ตึก Qs2 ชั้น 9 เป็นชั้นบนสุดของตึก เป็นชั้นที่ถูกศูนย์เกาหลีศึกษาและภาควิชานิติศาสตร์ยึดไว้ หลังจากที่ได้ต่อเติม ชั้น9 ของตึกเสร็จสิ้นแล้ว และเป็นชั้นเรียนเดียวที่ลิฟท์ไปไม่ถึง
  • หลายๆคนไม่รู้ จริงๆตึกมนุษย์มี10ชั้น เป็นหอเก็บน้ำและติดตั้งเสาสัญญาณต่างๆของมหาวิยาลัย
  • เดิมชั้น 9 QS2 เป็นที่เรียนของภาควิชาดนตรี คณะซิกัม เพิ่งย้ายออกไปเมื่อปี 2546 ก่อนเปิดเทอม
  • โมเดลศิลปกรรมของม.บูรพาเป็นที่เฝ้ารอของทุกคนและทุกปีครับ ส่วนลีดคณะต้องยกให้คณะมนุษย์ ส่วนแสตนเชียร์ต้องยกให้พยาบาล
  • โภชนาคารเคยเป็นโรงอาหาร ห้องรับปริญญา ห้องนั่งเล่น ที่ตีแบด แต่ปัจจุบันเป็นที่จัดกิจกรรมของนิสิตและต่อเติมออกไปเป็นโรงอาหารแทน
  • รถวิ่งรับส่งนิสิตในม.บู เรียกว่า "รถ 2 บาท" หรือ "ไฉไล" ปัจจุบันไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว
  • ลิฟท์ที่ตึกมนุดน่าจะจุคนได้ซักร้อยคนคงจะดี เพราะจะได้ไม่ต้องเข้าเรียนสาย เวลาที่เรียนชั้นสูงๆ
  • ไม่เข้าใจเลยที่ว่าคณะมนุดทำไมต้องรวมหลายภาควิชาในตึกเดียว แต่ลิฟท์มีเยอะเสียเหลือเกิน(ประชด)
  • คณะมนุษย์เป็นคณะที่ใหญ่ที่สุดในมอ ด้วยอัตรา8000คน ต่อคนทั้งมอ20000คน
  • คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ม.บูรพาใช้คำว่านิสิต ไม่ใช่นักศึกษา
  • ม.บูมีคณะแพทย์มาแปดปีแล้วแต่เพิ่งรับนิสิตรุ่นแรกเมื่อปี50
  • หลักสูตรแพทย์ของม.บูถูกทดสอบแล้วโดยคณะแพทย์ของ มศว เอาไปใช้ก่อน
  • เพลงประจำสถาบัน เพิ่งได้ฟังเมื่อตอนรับปริญญา
  • รัฐศาสตร์ ไม่มีวิชาที่ต้องออกไปฝึกงาน แต่มีชอป ทำไมไม่รู้
  • ทางมหาลัยให้มีการลงทะเบียนผ่านเนต แต่เก็บค่าเอกสาร 50 บาท ไม่เนียนเลยนะคับ
  • ร้านนี้ Printสี ราคาถูกนะ แถมมีครบวงจร มีถ่ายเอกสารด้วย อยู่ข้างร้านลูกเตี่ย แถมพี่เจ้าของร้านใจดีด้วย อยู่ตรงข้าม "ซุ้มมะม่วง"ไง
  • วิทคอมเป็นเอกที่มีคนเรียนเยอะน่ะตอนปีหนึ่งแต่พอปีสอง ปีสาม ปีสี่ หายไปไหนกันหมดหว่า สงสัยจะเป็นเอกที่เอาไว้กำจัดจุดอ่อน คนที่เก่งเท่านั้นถึงจะจบได้
  • วิทยาฟิสิกส์เป็นเอกที่เข้าง่ายและจบยากที่สุด ปีที่แล้วมีคนจบแค่สามคนเอง สอบสองครั้งวิชา phy II คนเรียนสองร้อยกว่าคน เต็ม 70% meanคือ 17  !
  • เอกฟิปี1นี้ จาก 70 กว่าคน โดนรีไทล์ไปหมดเหลือ ไม่ถึง 30 คน ไทล์ที่ 1.75 แต่ร้อยละ 50 ของคนที่โดนไทล์จะได้เกรด 1.74 อาจารย์ใจร้ายจัง (แต่กูรอดเว้ยยยย 555+ )
  • นิติศาสตร์ รุ่น 1 (2549) เข้าเรียน 350 คน ปัจจุบันเหลือประมาณ 70 คน แม่ง ...
  • หนังสือพิมพ์เล่มแรกของมหาวิทยาลัย ชื่อว่า หนังสือพิมพ์เข็มเก้า โดยคณะศึกษาศาสตร์
  • ตึกสิรินธร(sd) เป็นตึกที่ดูดีมีชาติตระกูลและมีลิฟท์กว้างมากกกกกกก (ประชดดด! เข้าใจมั้ยย)
  • สืบเนื่องจากข้างต้น ลิฟท์ที่ว่านั้นมีอัตราความรู้สึกค่อนข้างต่ำ จะรับรู้ว่าบรรทุกน้ำหนักเกินก็ต่อเมื่อเกือบถึงหรือถึงจุดหมายแล้ว นอกจากนั้นนิสิตที่กำลังจะเข้าใช้ลิฟท์ส่วนใหญ่มักมีความกังวลเรื่องความ ปลอดภัยหลังจากอยู่ภายใน ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากประสิทธิภาพที่(ไร้ความ)มั่นคงของลิฟท์นั่นเอง
  • อ้อ! ตึก sd เรียกได้ว่าเป็นตึกประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่ทว่าคอมพิวเตอร์ของห้องภาคมีเครื่องที่ "ใช้งานได้จริง" เพียงประมาณ 60% เท่านั้น) และความเร็วอินเตอร์เน็ตก็สุดยอดมาก เปิดเวปใดขึ้นมา คุณสามารถสแกนบัตรออกจากห้องเพื่อไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วค่อยกลับมาดูหน้าที่ คุณเปิดก็ยังได้ เพราะไม่แน่ว่ามันอาจจะยัง "โหลดไม่เสร็จ" แต่ในอนาคตข้างหน้าคาดว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และจะนำข้อมูลการเปลี่ยนแปลงมาแจกแจงอีกที
  • ในคณะวิท มีเอก ที่ถูกลืม คือ IT เนื่องจาก มาจาก ปวส. จึ่งทำให้ เป็นลูกเมียน้อย ขนาด ในหนังสือ รุ่น ยังไม่มีแผนก นี้เลย(น้อยจัย)(ตอนนี้เค้าแยกตัวตั้งเป็นคณะแล้วนะ)
  • มอบูมีพี่วินที่ชอบชูนิ้วชี้เรียกลูกค้า (แต่ถ้าเป็นนิ้วกลางล่ะก้อ....)
  • ละครเวทีของภาควิชานิเทศฯ เจ๋งที่สุดในม.บู และ...อาจถูกที่สุดสำหรับภาคนิเทศฯในประเทศไทย สนนราคาไม่ถึง100บาท
  • "รถไฉไล" เดิมใช้รถไฟฟ้าจากม.นเรศวร แต่ทนค่าใช้จ่ายไม่ไหว เลยต้องคืนไปแล้วเอารถดีเซลมาใช้แทน
  • รถไฉไลมีทั้งหมดสามชุด ชุดละสองคัน ชุดแรกตัวถังใหม่แต่เครื่องเก่า พอเสียบ่อยเข้า ชุดสองชุดสามเลยได้ของใหม่ล้วนๆ
  • รถประจำตำแหน่งของอธิการบดีเมื่อก่อนเป็นวอลโว่ ปัจจุบันใช้อัลพาด ทะเบียน กบ2166 ชลบุรี จอดหน้าตึก ภปร คู่กับโตโยต้าคัมรีประจำตำแหน่งรองฯวิชาการ
  • เปลี่ยนแล้วครับรถประจำตำแหน่งอธิการบดี เป็นเวลไฟล์ย ทะเบียนอะไรเนี่ยแหละ กทม. จอดคู่กะจี-วากอนรถส่วนตัวของท่านนะแหละ ที่ ภปร. ครับ (อัลพาดไปตกอยู่ในกำมือของคณะนึงในมหาลัยแล้วแล้วครับ)
  • อธิการบดี รวย . . !!
  • อธิการนั่งคนเดียวด้วย ไม่ยอมให้ใครใช้
  • บ้านพักอธิการบดี มองแล้วนึกว่า บังกะโล...(อยู่แถวคณะวิทย์กีฬา)
  • ลิฟต์ของตึก sd ทั้งๆที่มาถึงชั้น 4 แต่เลขข้างในจะเป็นเลข 3
  • ห้างแหลมทอง หน้ามอ ไม่มี กกน ขาย (ตอนนี้มีแล้ว เพิ่งไปซื้อมาเอง)
  • วิทยาลัยนานาชาติเป็นคณะน้องใหม่ แต่มีงบประมาณทุ่มลงไปเยอะที่สุดในมหาลัย แค่ 4 ปี ได้ตึกใหม่หน้าตาดีที่สุดในมหาลัยไปครอบครอง
  • ต่อจากด้านบน เพราะผู้ก่อตั้งเป็น คนที่คุณก็รู้ว่าใคร ถ้าไม่เข้าใจให้ย้อนกลับไป 6 บรรทัด
  • เว็บมหาวิทยาลัย ม บูรพา (www.buu.ac.th)มีผู้เข้าชม น้อยกว่า เว็บสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา (www.bims.buu.ac.th)


    อ้างอิง :http://th.uncyclopedia.info

sara optter and the goblet of plam

 บทที่หนึ่ง ก้าวแรกของการผจญภัย

ช่วงบ่ายวันจันทร์ก็เหมือนเดิม ชัยวัฒน์ขี้เกียจสอน ซารา(ยุทธ)นั่งเศร้าอยู่ท่ามกลางสายฝนอันเย็นเฉียบ ที่โหมกระหน่ำสาดใส่ใจของซารา(ยุทธ) ที่เฝ้ารอคอย”ซิน” อันที่จริงซารา(ยุทธ)ชอบซินมานานแล้ว แอบชอบ เฝ้ามองทุกวัน แต่ไม่กล้าพูดด้วย วันหนึ่งซารา(ยุทธ)เห็นซินเดินคู่กับสาว จึงเข้าไปหาแล้วพูดด้วยสำเนียงตุ๊ดๆว่า ”เราเลิกกัน !!!”
ซารา(ยุทธ)วิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนที่โหมซัดสาด ซารา(ยุทธ)วิ่งไปร้องไห้ไปโดยไม่ได้ฟังเสียงตะโกน(ด่า)ตามหลัง ซารา(ยุทธ)พยายามลบภาพอันติดตานั้นด้วยสายฝนอันเย็นเฉียบ แต่พยายามแล้วพยายามอีกแต่ก็ทำไม่ได้จึงไปกระโดดตึกตาย แต่มีผู้ชายคนหนึ่งมาช่วยไว้ทันเขาคือ ใครก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แม้แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ แต่คนเขียนมันรู้ว่า พ่อของคนๆนั้นชื่อ แกล้วกล้า แม่ชื่อเครือวรรณ เพื่อนๆเรียกว่า”ปาล์ม”
ปาล์มจับร่างตุ๊ดไว้แน่น ขณะที่ทั้งสองตกลงมา ลมแรงปะทะเข้ากับใบหน้าของซารา(ตุ๊ด)จนทำให้ไม่สามารถลืมตาได้ แต่ถึงจะมองไม่เห็น ซารา(ตุ๊ด)ก็สัมผัสได้ว่า เขาเป็นคนที่เฝ้ารอมานาน ตอนนี้ในใจศรายุทธเริ่มสับสน เพราะเกิดชอบทั้งปาล์มและซิน ถึงจะชอบปาล์ม แต่ภาพซินก็ไม่เลือนลางหายไปจากใจซาราเลย แล้วระหว่างที่เฝ้าคิดถึงอยู่กลางอากาศนั้น ซารายังคงกอดไว้แน่น พลางมองผ่านหน้าต่างตึกเห็นชัยวัฒน์กำลังนั่งแคะขี้มูก ชั้นถัดมา เห็นวุฒิไกรแห่งศรีษะเกษกำลังดูหนังโป๊และต่อมาเห็นพื้นทำให้ศรายุทธคิดได้ ว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า(แล้วมันไปเกี่ยวกันยังไงวะ) แล้วซาราก็นึกขึ้นได้พลางเหลือบตาไปมองบรรทัดบนแล้วอ่านทบทวน ซารา(แหกปากเสียงตุ๊ดออกมาว่า)
ซารา : เฮ้ย!!!เมื่อกี้คนเขียนมันเขียนว่าอะไรฟะ
คนเขียน : ก็พื้นไง
ซารา : แล้วทำไมถึงพื้นเร็วนักฟะ อย่างนี้ตูก็ตายซิโว้ย!!!
คนเขียน : ก็แกโดดมาแค่สองชั้นนี่หว่าไอ้บ้า………..
ซารายังพูดไม่ทันจบ ก็กระแทกพื้นดังปู้ด ที่จริงไม่ได้ปู้ดหรอกแต่ปาล์มหล่นมาทับพุงซารา ทำให้เกิดของเหลวสีน้ำตาลเละๆกองที่ตูดซารา
จากนั้น ซารา(ยุทธ) ก็ท้องแตกตาย ไปเกิดใหม่ ก็เกิดมาเป็นลูกของสมใจกับเสาวนีย์ดังเดิมและก็เป็นตุ๊ดดังเดิม ชื่อ “ไกรกูณฑ์ ทองคำ” (ใครตั้งวะ) ชื่อนี้แปลว่า”ตุ๊ดผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ยอมแพ้ใคร” พอเกิดมาได้สิบขวบก็สายตาสั้นใส่แว่น  ตัวดำอ้วน ลักษณะเหมือนซาราเปี้ยบ เพราะเขาคือ”ศรายุทธ” ส่วน “ซารา” ก็คือ…คือ...
ใครวะ ? ล้อเล่น ความจริงก็คืออ.อ้อมคือ”ซารา”ในอนาคต แต่ย้อนเวลามาหาตนเองในอดีตเพื่อจะบอกอะไรบางอย่าง(เหมือนในละคร) แต่ตอนนี้”ซาราB”(ย่อมาจาก Sara Big)ยังหาตัว”ซาราS”(ย่อมาจาก Sara Small) ถ้าเจอแล้วคงบอก”ซาราS”ว่า…
บอกว่าอะไรนั้นยังไม่ต้องไปสนใจ… เช้าวันอังคาร ลมเย็นพัดผ่านหว่างขาของซารา ทำให้อวัยวะที่ไม่มีกางเกงในปิดรู้สึกหนาว
ซาราสงสัยว่าทำไมลมเย็นผิดปกติ ลมที่เย็นนั้นพัดพาก้อนกระดาษเน่าๆมาโดนหัวของซารา ซาราตกใจมากพลางหยิบก้อนกระดาษขึ้นมาคลี่ออกดู มันมีตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเขียวบนกระดาษ(ซึ่งตอนหลังซารารู้ว่าเป็นผ้า อนามัยใช้แล้ว) ซาราตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้ามาก เพราะมันคือ… ซาราอ่านออกมาเบาๆว่า
ซารา : เรียน ซารายุทธ… เราขอเชิญคุณเข้าเรียนในโรงเรียนคาถามดตัวผู้มดตัวเมียและเวทมนตร์ ศาสตร์”หอนวอก” ให้คุณเซนต์ชื่อตามใบสมัครด้านล่างแล้วส่งไปที่ห้องพลานามัย ร.ร. บ.จ. ก่อนวันที่32 ธันวาคม 2548 เราจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกทีเมื่อได้รับใบสมัครจากท่าน…ขอบคุณโว้ย
ซาราไม่รอช้า รีบหยิบข้อมูลพ่อ-แม่เพื่อนมากรอกในกระดาษแบบฟอร์มเพราะไม่กล้าใช้ชื่อตนเอง ซาราเขียนด้วยความรวดเร็วแล้ววิ่งไปที่ห้องพลานามัย เปิดประตูเข้าไปก็เห็นภาพเดิมๆ(ชัยวับนั่งไชจมูก)และซาราก็เดินเข้าไปอีกนิด พลางกวาดสายตามองไปเรื่อยๆ(ตอนนี้ชัยวับหลับแล้ว) แล้วก็ไปพบกับไหขนาดใหญ่ใบหนึ่ง เขียนป้ายไว้ว่า “ที่ส่งใบสมัครโรงเรียน”หอนวอก”” เมื่อซาราแหย่ใบสมัครลงไปก็ตกใจเสียงกรนของชัยวับ ทำไหตกลงมาจากชั้นวาง
เพล้ง!!! เสียงดังเพล้ง!!! ทำให้ชัยวับตื่น และพูดในสภาพงัวเงียโดยไม่ทันปัดขี้ตาออก
ชัยวับ : เสียงอะไรฟะ?
ซารา : เมี้ยว…เมี้ยว…
ชัยวับ : ห้องนี้ไม่เลี้ยงแมวโว้ย!!!ไม่ใช่ห้องปกครอง!!!
ซารา : (คิดในใจ) ตูเล่นมุขควายทำไมวะเนี่ย!!!
ชัยวับเหลือบตาไปเห็นไหแตก ก็ทำตาเกลือกออกมาแล้วพูดอย่างตกใจ
ชัยวับ : นี่แกทำไหแตกเรอะ!!!
ซารา : เปล่า…อยู่ๆมันก็ลอยมาแตกที่พื้น
ชัยวับ : ใครเชื่อก็โง่…รู้มั๊ย นั่นไหอะไร มันไม่ใช่ไหธรรมดามันเป็น ”ไหแห่งสมจำ” เป็นไหที่มีค่ามาก ไม่มีใครรู้ว่ามันมาได้ยังไง. หลักฐานเมื่อพันปีพันปีก่อนบอกว่า พระเจ้าปาล์มมหาราชได้ช่วยชีวิตกระเทยชื่อซารายูทา ซึ่งกำลังจะโดดตึก แต่ช่วยไม่ได้ ซารายูทาตกลงมาตาย!!! พระเจ้าปาล์มจึงสร้างสุสานไว้ โดยเก็บหัวใจของซารายูทาไว้ในไหแห่งสมจำใบนี้
ชัยวับเหลือบตาไปมอง
ซารา : Z z z z z z z z
ชัยวับ : นี่แกไม่ได้ฟังเลยเรอะ ขึ้นไปอ่านข้างบนใหม่เลย ตูขี้เกียจพูดใหม่
หลังจากซารากลับขึ้นไปอ่านแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องส่งใบสมัคร
จึงโยนใบสมัครไปโดนซากไห ทันไดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบ แสบตาซารา เมื่อแสงหายไป ก็พบว่าใบสมัครหายไปแล้ว แต่ยังมีเอฟเฟกซ์เป็นประกายสีแดงอยู่ ประกายสีแดงจับเป็นกลุ่มและทอดยาวไปด้านหลังของประตูหนีเด็ก ซาราตามแสงนั้นไป แต่แทนที่จะจับลูกบิดประตูแล้วเปิด กลับกลายเป็นว่ามือของซาราทะลุผ่านไป ซาราตัดสินใจเดินทะลุเข้าไปในนั้น
ข้างหลังบานประตู ซาราพบว่าตัวเองอยู่ในสถานีอะไรสักอย่างที่ตรงกลางมีถนน ไม่นานซาราก็ได้ยินเสียง ตู๊ด…ๆๆๆๆ ซาราหันไปทันทีเพราะความร้อนตัว ซาราเห็นอะไรสักอย่างวิ่งฝุ่นตลบเข้ามาเป็นขบวน เมื่อเข้ามาใกล้ซาราก็มองออกว่าเป็นฝูงควายนับหกสิบตัว โดยมีคนขี่ตัวแรกที่วิ่งนำแค่ตัวเดียว ฝูงควายมาหยุดที่หน้าซารา
คนขี่ควาย : นี่เป็นทางเดียวที่จะไปโรงเรียนหอนวอก คนอื่นไปถึงโรงเรียนตั้งแต่รอบที่แล้วหมดแล้ว เหลือแกคนเดียว อีตุ๊ด!!!
ซาราพูดไม่ออกและเดินเข้าไปขี่ควายตัวในสุด ทันใดนั้นก็มีเสียง”รอด้วย!!!” ซาราหันไปมอง เห็นผู้ชายคนหนึ่ง วิ่งเข้ามาและเข้าขี่ควายตัวข้างๆซารา
เมื่อขบวนควายออกเดินทาง ซารากับผู้ชายคนนั้นก็เริ่มเปิดประเด็นคุยกัน ท่ามกลางความสะเทือนบนหลังควาย
ผู้ชายคนนั้น : สวัสดีครับ ควายนี่นั่งสบายดีดีนะครับ คุณชื่ออะไรครับ ผมชื่อซิน
ซารานั่งอายตลอดทางโดยไม่กล้าพูดกับซิน ระหว่างทางมีควายตัวหนึ่งเหลือบไปเห็นกางเกงในสีแดงของซารา ทำให้มันโกรธและไล่ขวิด มันขวิดซาราจนตกจากบนหลังควาย ซารากระแทกพื้นอย่างแรงและด้วยสติจึงเอื้อมมือไปจับอะไรยาวๆของควาย ได้(เพราะตอนนั้นปั่นป่วนมาก มองไม่เห็น) ซาราจับไว้แน่น เมื่อควายตกใจจึงวิ่งเร็วไปอีกทำให้เกิดการกระชาก ควายจุกมากจึงล้มลงไปนอนหน้าเขียว ด้วยสัญชาติญาณจึงใช้เท้าหลังถีบซาราอย่างแรง จนกระเด็นไปถึงควายตัวสุดท้าย แต่ควายตัวนั้นเป็นตัวเมีย จึงไม่มีที่จับ ซาราจึงหมดหนทางและนอนหมดแรงอยู่ตรงนั้น พร้อมกับเห็นฝูงควายที่ไปหอนวอกวิ่งเลยไปหลายร้อยเมตรแล้ว ซาราสลบไปเพราะความเหนื่อยล้า
ซารารู้สึกตัวอีกทีเพราะถูกปลุก ใบหน้าที่เขาเห็นคือใบหน้าของซิน ซาราดีใจมากเพราะแอบชอบซินตั้งแต่เจอกันแล้ว ซินยิ้มแล้วยื่นมือเข้ามาช่วย ซาราอายมาก
ซารา : โอว…พระเจ้าโปรด พระองค์ทรงไม่ทอดทิ้งสาวสวย
เปรี้ยง!!! ฟ้าผ่าลงที่ซาราอย่างแรง ทำให้เสื้อผ้าซาราขาด
เห็นตูดดำๆของตุ๊ดที่ชื่อซารา
ซารา : (คิดในใจ) นี่ตูพูดอะไรผิดวะเนี่ย?
เปรี้ยง!!!ฟ้าผ่ารอบสองแรงกว่าเดิม4.65เท่า ทำให้ซาราแทบจะเปลือยเพราะเสื้อผ้าไหม้หมด แต่มันก็สามารถยืนหัวโด่อยู่ได้เพราะความหน้าด้าน
เมื่อซารามองหน้าซินก็เขินมาก ไม่กล้าพูดอะไรด้วย
ซิน : อ้าว มายืนทำอึ่งอ่างอะไรอยู่วะ ตูอุตส่าห์มาช่วย โดนผีวุฒิไกร
เข้าสิงหรือไงวะ มายืนบิดยืนเบี้ยว บิดตูดไปมาอยู่นั่นแหละ
ซารารีบขึ้นขี่ควายที่ซินนำมาและเดินทางสู่โรงเรียนหอนวอกในที่สุด
ซิน : ตูยังไม่ได้ขึ้นโว้ย!!!

และแล้วซาราก็มาถึงโรงเรียนหอนวอก ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ซาราดีใจมาก มันเป็นกระต๊อบหลังคามุงจากจะพังมิพังแหล่
ทำให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของชีวิต (ก็มันเย็นแล้วนี่หว่า)
ซาราดีใจมากวิ่งโผลเข้าไปแล้วตะโกนอย่างสุดเสียง
ซารา : นี่หรือหอนวอกช่างสวยงามอะไรอย่างนี้
พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีมือลึกลับมาสะกิดไหล่ซาราแล้วเจ้าของมือนั้นก็บอกว่า
เด็กชาย : พี่ๆนั่นมันคอกควาย หอนวอกต้องเดินไปอีก10โล
ซารา : โลละเท่าไร
เด็กชาย : โลละ25 2โล…โว้ย!!! ตูจะรับมุขมันทำไมวะเนี่ย น่าจะปล่อยให้มุขแป้ก
จากนั้นซาราก็ขี่ควายที่ซินนำมาให้ (ตัวเดิม) มุ่งตรงไปยังหอนวอกตามที่เด็กชายบอกไว้
ปาล์ม : โย่!!!
คนเขียน : นี่แกจะร้องหาอึ่งอ่างเหรอฟะ ตูยังไม่เขียนถึงบทของแกเลย
ปาล์ม : เดี๋ยว คนอ่านจะลืมว่ามีผมอยู่ในเรื่องด้วย ไม่ได้ออกโรงมาหน้ากว่าแล้ว
คนเขียน : ใครจะลืมแก หัดมองไปุหัวกระดาษซะบ้าง เขียนอยู่ตัวเท่าควาย!!!
ปาล์ม : จริงดิ
คราวนี้ไปดูเรื่องของซารากันต่อ คราวนี้ซาราก็มาถึงหอนวอกจริงแล้ว ข้างๆปราสาทหอนวอกมีต้นไทรขนาดยักษ์ที่ว่ากันว่ามันจะตวัดรากใส่ผู้ที่เข้า มาไกล้ ต้นไทรนี้ชื่อว่า”ไทรฉัก”
ซารา : จริงอ่ะ
คนเขียน : จริงดิ
ซารา : ตอนนี้ตูยืนอยู่ใต้ต้นบ้านี่แหละ ไม่เห็นมีไรเลย
คนเขียน : แหงนขึ้นไปข้างบนซิฟะ แล้วจะเห็นตัวอย่าง
ซาราหันหน้าขึ้นไป ได้ยินเสียงแว่วๆ “ไม้ของชั้น” ซาราไม่สนใจ ก็เดินเข้าปราสาทไป ซาราเดินไปพบกับทางแยกก็หยุดคิดซักพักว่าไปทางไหนดี แต่ยังเลือกไม่ได้ ซาราก็ได้ยันเสียงคล้ายๆรถอีแต๋นปี1960 เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ซาราไม่รู้ว่าต้นเสียงอยู่ไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีซาราก็ไปนอนใต้ล้อรถคันนั้นแล้ว ซาราพยายามสังเกตว่าเป็นรถอะไร แต่สังเกตได้ยาก เพราะกางเกงในของซาราถูกรถเกี่ยวไว้
พูดง่ายๆก็คือ ตอนนี้ซาราโดนรถปริศนาลากเข้าป่าไปแล้ว
ซาราพยายามจับวัตถุรอบตัวขณะที่ถูกรถลากไป ซาราเอื้อมมือไปคว้าอะไรสักอย่างได้ แต่สิ่งที่ซาราคว้าไว้นั้นก็ลงไปนอนหน้าเขียวเหมือนตอนที่จับโดนของควาย ซาราไม่ยอมปล่อยมือเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ซาราจับมันทำให้ซาราชอบตามประสากระ เทย รถลากทั้งสองวิ่งไปรอบป่าเร็วขึ้นๆๆๆ ซาราตกใจมากจึงบีบมือข้างที่จับอย่างแรง จนเกิดเสียงโหยหวนชวนขนลุก รถวิ่งไปชนต้นไม้ทำให้รถหยุด
ซารายืนขึ้นแต่ด้วยความดีใจที่รอดตายจึงลืมนึกถึงสิ่งที่ฉุดมาด้วย
ซารามองไปที่มือข้างนั้น และภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือมนุษย์หมาป่าหน้าตาหน้าเกลียด ดูเหมือนว่าหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงไปแล้ว
ซารานึกขึ้นได้ว่าจับอะไรอยู่ก็ใจเต้นรัวแรง แต่ซาราลืมสังเกตว่าซาราดึงซะจนยืดยาวสี่ฟุตแล้ว
ที่จริงมนุษย์หมาป่าจะดุร้ายและทำร้ายไม่เลือกหน้าตั้งแต่สากเบือยันเรือดำ น้ำ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าใกล้ตายแล้ว ซาราจึงรอดตายแล้ววิ่งเข้าปราสาทไป ซาราวิ่งไม่ดูทาง ไปชนผ้าที่คนอื่นตากไว้ ทำให้ผ้าพันตัวยุ่งเหยิง ซาราไม่สนใจอีกนั่นแหละเพราะอากาศหนาว ซารารีบวิ่งเข้าไปในห้องโถง แทนที่จะได้รับการต้อนรับ ภาพที่ซาราเห็นกลับกลายเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
เด็กนักเรียนทั้งหญิงชายไม่ว่ารุ่นใหม่รุ่นเก่า ครูบาอาจารย์ต่างๆ ร้องลั่นวิ่งหนีกันไปหมด บางคนวิ่งเข้ามาแล้วก็ชูตะเกียบมาทางซาราแล้วร้องว่า “เอ็กซ์เปกโต พลาโตนุม” แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
ซารางงมากๆ ซาราเดินเข้าไปอีกก็เห็นเด็กผู้ชายคนนึงใส่แว่น หน้าเอ๋อๆเยิ้มๆเห็นแล้วเลี่ยน เด็กชายคนนั้นกำลังนอนเป็นลมอยู่ ซาราเห็นก็ชอบขึ้นมาทันทีและเข้าไปจูบ มีคนมายืนดูอยู่ห่างๆมากมาย
ศาสตราจารย์ทริปเปิ้ลดอร์(อาจารย์ใหญ่)ตะโกนอย่างตกใจว่า
ทริปเปิ้ลดอร์ : ผู้คุมวิญญาณจะจุมพิษแฮร์ขี้แล้ว!!!
ซาราได้ยินก็ตกใจมาก คิดว่าผู้คุมวิญญาณอยู่ข้างหลัง จึงวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว แต่ซาราวิ่งไปทางไหนฝูงคนก็แตกตื่นทางนั้น ทำเอาซารางงมาก จากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงสงสัยว่าจะชื่อเหาห่าอะไรนี่ตะโกนออกมาว่า
เด็กหญิง : แกอย่าทำอะไรแฮร์ขี้นะ!!!
แล้วก็หยิบตะเกียบออกมาแล้วพูดว่า
เด็กหญิง : กินกระเทียมจั๊กเดียมซ่า
แล้วกางเกงในสีแดงของซาราก็หลุดออกไปอย่างรวดเร็วและสิ่งที่ ปรากฏต่อหน้านักเรียนและอาจารย์ทุกคนก็คือท่อนประหลาดสีดำน่าเกลียด
เด็กหญิง : แสดงร่างออกมาแล้วสินะ!!!
แล้วเห่าหาอะไรนี่ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วพูดว่า
เด็กหญิง : ลิสตัสซิมบรา!!!
แล้วท่อนประหลาดก็ถูกกระแทกด้วยแสงประหลาดแล้วท่อนที่ตั้งอยู่ก็กลายเป็นสีเขียวและสั้นไปมาน่าตกใจยิ่งนัก
เด็กหญิง : สงสัยจะดื้อยากระมัง

หลังจากที่ทุกๆคนรู้ว่าผู้คุมวิญญาณไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นซาราเอง โรงเรียนก็เข้าสู่ภาวะปกติ ทุกคนนั่งเรียงโต๊ะอีกครั้ง โต๊ะสี่ตัวซึ่งแบ่งแยกนักเรียนแต่ละบ้านออกจากกันได้แก่
1.สัญลักษณ์แห่งความปอดแหก “กริฟฟินดอร์(ขาด)”
2.สัญลักษณ์แห่งความโง่บัดซบ “เลียนเสียงมอ”
3.สัญลักษณ์แห่งความกระแดะแอนด์เอ๋อ “ฮัฟเฟิลบัฟ(falo)”
4.สัญลักษณ์แห่งกระซู่ “สไลทูทรีโฟร์รีน”
ซาราตื่นเต้นมากเมื่ออาจารย์ใหญ่กล่าวเปิดงาน ซาราหันไปถามเพื่อนที่ยืนข้างๆซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงหัวเหมือนสิงโต
ซารา : นั่นใครน่ะ?
เด็กหญิงหัวสิงโต : อาจารย์ใหญ่
ซารา : ใหญ่มากมั๊ย
เด็กหญิงหัวสิงโต : ใหญ่กว่าพ่อของเราอีก รู้มั๊ยของพ่อเราน่ะอันเท่าขวดโออิชิ
ซารา : ขนาดนั้นเลยเหรอ (ซาราตะลึงมาก)
เด็กหญิงหัวสิงโต : แล้วแกหมายถึงอะไรน่ะ
ซารา : (อมยิ้ม พูดไม่ออก ตะลึง+ช๊อคมาก)
สิบนาทีผ่านไป ซาราเลิกช๊อคแล้วก็ถามอีกว่า
ซารา : แล้วชื่ออะไรอ่ะ
เด็กหญิงหัวสิงโต : (ยิ้ม) เห่าไหมนี่ เกรนเจอร์
ซารา : ไม่ใช่ หมายถึงอาจารย์ใหญ่น่ะ โอ้ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าอาจารย์มหึมา อภิมหาโอฬาร
เด็กหญิงหัวสิงโต : ชื่อทริปเปิ้ลดอร์
ซารา : โห ชื่อสมกับอวัยวะในตัวเลย
เด็กหญิงหัวสิงโต : คนนี้เป็นอาจารย์ใหญ่คนที่สาม คนแรกชื่อ ”ซิง-
เกิ้ลดอร์” เสียชีวิตเพราะถูกเต่ากัด คนที่สองชื่อ”ดัมเบิ้ลดอร์” ถูกกางเกงในอุดปากตาย
ซารา : เธอนี่รู้ดีไปหมด

หลังจากเปิดงานเสร็จแล้ว ม่านก็เปิดออกมีหมวกเก่าๆตั้งอยู่หนึ่งใบ
ทริปเปิ้ลดอร์ : นี่คือหมวก”คิดสั้น” เราจะให้นักเรียนใหม่สวมหมวกนี้เพื่อเลือกว่าจะอยู่บ้านไหน
ซารายกมือขึ้นถาม
ซารา : อาจารย์คะ ทำไมถึงชื่อหมวกคิดสั้นล่ะคะ
ทริปเปิ้ลดอร์ : ตอนแรกชื่อหมวก”วสันต์”คิดค้นโดยนายวิทยวินิต
แต่ไอ้หมวกบ้านี่มันชอบเลือกมั่วๆ เลือกแบบสิ้นคิด เลยเรียกว่าหมวกคิดสั้น สงสัยคนสร้างมันคงคิดสั้นด้วยแหละ
ทริปเปิ้ลดอร์หยิบใบรายชื่อมา แล้วเรียกชื่อเด็กใหม่ให้ออกมาสวมหมวกเพื่อให้หมวกเลือกบ้านให้
ชื่อแรกที่ถูกเรียกออกมาคือ “เห่าไหมนี่”
หมวกคิดสั้น : ไม่ต้องใส่หรอก ให้มันอยู่กริฟฟินดอร์(ขาด)
ซารา : (คิดในใจ) มันคิดสั้นสมชื่อ
ทริปเปิ้ลดอร์เรียกชื่อคนที่สอง “มอญ วิสกี้ย์”
หมวกคิดสั้น : ไอ้นี่ให้มันไปนั่งโต๊ะนั้น (หมวกหันไปมองโต๊ะกริฟฟินดอร์(ขาด))
ซารา : (คิดในใจอีกที) คิดโคตรสั้นเลยว่ะ
ทริปเปิ้ลดอร์เรียกชื่อที่สาม…ชื่อที่สี่…ชื่อที่ห้า… ชื่อแล้ว ชื่อเล่า ซาราได้แต่เฝ้ารอคอย พลางหันไปเห็นอะไรสักอย่างที่ทำให้ซาราติดตามาก คนที่ซาราเห็นเป็นเด็กผู้ชายบ้าๆ สิวเต็มหน้า ชื่อวุฒิไกร ชอบมองตูดคนอื่น ขี้อาย เป็นใบ้ ผมสั้น หน้าแปลก อายุ13 แม่ชื่อมาลัย
พ่อชื่อ…
วุฒิไกร : โว้ย!!! นี่แกจะบอกตั้งแต่สากเบือยันเรือดำน้ำเลยเรอะ!!!
พอได้แล้ว เดี๋ยวคนอ่านก็รู้สิว่าพ่อเราชื่อ”สมพล”
คนเขียน : อะไรนะ!!! พ่อแกชื่อ”สมพล!!!”
วุฒิไกร : รู้ได้ไงอ่ะ
คนเขียน : ท่านผู้อ่านครับ ไม่ต้องไปสนใจปล่อยให้มันเอ๋อไปคนเดียว เรามาติดตามเรื่องต่อ…ถึงไหนแล้วนะ อ๋อ…
ซารายิ้มให้วุฒิไกร แต่ในใจซารารู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นวุฒิไกรดูหนังโป๊ที่ไหนสักแห่งมาก่อน แต่ซาราก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้วุฒิไกรอายจนลงไปกลิ้งกับพื้นแล้วเอาหัวซุกเข้าไปในกระโปรงคนอื่น เพื่อหลบหน้า แต่ทันใดนั้น วุฒิไกรก็รีบโผล่หัวออกมา เด็กผู้หญิงที่วุฒิไกรเอาหัวมุดใต้กระโปรง ก็วิ่งหน้าตื่นไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ปล่อยให้วุฒิไกรโดนครีมสีเหลืองโปะหน้าอยู่คนเดียว ระหว่างที่ซารามองเหตุการณ์ของวุฒิไกร ทริปเปิ้ลดอร์ก็เรียกชื่อ”วุฒิไกร”ให้ออกไปใส่หมวก แต่หมวกไม่กล้าให้ใส่ เพราะกลัวเลอะครีมสีเหลืองที่หน้าวุฒิไกร
หมวก : ยี้…ขี้ แหวะ เหม็นโว้ย
วุฒิไกรยังไม่รู้ตัวมัวแต่ยืนเอ๋อ
หมวก : แกจะเข้าบ้านไหนก็เข้าไปเลยไป…ไอ้เอ๋อ
วุฒิไกรยังงงๆอยู่ ก็เลยไปนั่งข้างๆเหาไหมนี่กับมอญ นั่นก็คือ กริฟฟินดอร์(ขาด) ขี้ไหลมาเข้าปากวุฒิไกรทำให้วุฒิไกรรู้สึกตัว(ทั้งที่ชาวบ้านเขาเหม็นกัน ทั่วแล้ว) วุฒิไกรตกใจ สะบัดหัวอย่างรุนแรง ทำให้ขี้บนหัวกระเด็นไปทั่วห้อง ขี้ก้อนนึงกระเด็นเข้าจานข้าวของทริปเปิ้ลดอร์ ก้อนนึงไปเข้าปากซารา ก้อนนึงไปติดอยู่ที่โคมไฟ วุฒิไกรไม่สนใจรีบตักอาหารกินโดยที่ไม่ได้ยิน(ซึ่งถ้าฟังดีๆจะได้ยินชื่อ บุพการีของวุฒิไกรดังมาจากปากของคนที่โดนขี้กระเด็นใส่ด้วย)
ทริปเปิ้ลดอร์ : คนสุดท้าย…คือ…
ซารารู้แน่ๆว่าต้องเป็นชื่อซารา ทำให้มั่นใจมากและก้าวเท้าออกไปก่อนที่จะบอกชื่อ
ทริปเปิ้ลดอร์ : คือ…คือ…”มาลัย”
วุฒิไกรร้อนตัว รีบหันหน้ามาทางทริปเปิ้ลดอร์ แต่หันแรงไปนิดขี้กระเด็นเข้าปากซาราอีกก้อน ซาราตกใจและเสียใจมาก สงสัยว่าทำไมไม่มีชื่อตนเอง
ซารา : ทำไมไม่มีชื่อตูฟะ ไอ้คนเขียนมันมั่วอีกแล้ว
คนเขียน : แกดิมั่ว กลับไปอ่านหน้าสอง ย่อหน้าสุดท้าย บรรทัดแรกซิฟะไอ้โง่ แกเขียนลงไปเอง
ซารากลับไปอ่านอีกครั้งแล้วก็นึกขึ้นได้ รีบวิ่งไปหยิบหมวกมาใส่ แต่หมวกกระโดดออกเพราะไม่ให้ใส่ ด้วยเหตุผลที่ว่ากลัวกระเทย
ซาราจึงไม่สนใจ วิ่งไปนั่งข้างวุฒิไกร
คนเขียน : แกลืมทำอะไรรึเปล่า
ซารา : อะไรเหรอ ?
คนเขียน : (ชี้ไปที่ปากซารา) นั่นไง
ซารา : เฮ้ย!!! ขี้!!! มาอุดปากตูตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ!!!
ซารารีบบ้วนขี้อย่างแรก แต่ดันบ้วนไว้ในจานข้าวตนเอง

หลังจากกินอาหารมื้อแรกเสร็จ ซาราและเพื่อนร่วมบ้านราวยี่สิบคนก็พากันเดินเข้าบ้านกริฟฟินดอร์(ขาด) ซารา เห่าไหมนี่ และมอญ นั่งบนโซฟารอบเตาผิงกลางบ้านหลังบานหน้าต่างที่มองเห็นพระอาทิตย์ยามเย็น กำลังลับขอบฟ้า
ซารา : คืนนี้เราจะนอนตรงไหนเนี่ย
เห่าไหมนี่ : ก็ห้องด้านบนไง ทางซ้ายห้องนอนชาย ทางขวาห้องนอนหญิง
ซารา : ไม่ใช่…หมายความว่า เราเป็นชายหรือหญิง
มอญ : ดูจากตัว ยังไงก็ชายนะ ก็น่าจะจัดว่าเป็นชาย
ซารา : ปากหมา!!! อย่ามาว่าชั้นเป็นผู้ชายนะ (ทำเสียงกระเทย)
มอญ วิสกี้ย์ ชักรู้สึกหวั่นๆ ถอยเข้าไปหลบหลังทรงผมสิงโตของเห่าไหมนี่
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงลึกลับดังขึ้น เป็นเสียงที่ซาราคุ้นหูมากๆ
ดูเหมือนคนพูดจะเป็นผู้ชายแก่พอสมควร
เสียงลึกลับ : ขอโทษที่ขัดจังหวะ…ขอให้ทุกคนในบ้านจงฟัง ตอนนี้
ทุกท่านอยู่ใน “กริฟฟินดอร์(ขาด)บาเธอร์!!!”
ซารา : อะไรฟะ
มอญ : แกเป็นใคร ?
ซารา : เสียงคุ้นมากๆเลย
เสียงลึกลับ : ข้าคือชัยวับ…เอ๊ย!!! กริฟฟินดอร์(ขาด)บาเธอร์ คล้ายๆกับ Big Brother!!!
ซารา : รู้แล้ว!!! ว่าใคร
เห่าไหมนี่ : ใครวะ
ซารา : ชัยวับนี่นา ใช่มั๋ย ? ๆๆๆ
ชัยวับ : ใช่…เอ้ย!!! ไม่ใช่โว้ย ข้าคือผู้ควบคุมบ้านนี้และเป็นพิธีกรรายการ กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์!!!
ซารา : ใช่จริงๆด้วย
ชัยวับ : บอกว่าไม่ใช่โว้ย!!! จะเริ่มเกมได้รึยังฟะ
เห่าไหมนี่ : งงไปหมดแล้ว
กริฟฟินดอร์(ขาด)บาเธอร์ : ทุกคนต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ และสามารถไปเรียนวิชาต่างๆได้ แต่ในเวลาหนึ่งทุ่มถึงแปดโมงห้ามออกจากบ้านนี้ ทุกคืนทุกคนจะต้องทำกิจกรรมร่วมกัน
ซารา : ทุกคนเลยเหรอคะ!!! (ทำหน้าดีใจ)
กริฟฟินดอร์(ขาด)บาเธอร์ : ใช่
เห่าไหมนี่ : เดือนละครั้งหนูก็จะแย่แล้ว
มอญ : ช่าย…
ซารา : น่าจะทั้งวันเลยนะคะ หนูชอบ นะคะชัยวับๆๆๆ
กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์ : บอกว่าไม่ได้ชื่อชัยวับโว้ย ตูชื่อกริฟฟินดอร์(ขาด)บาเธอร์!!!








บทที่สอง ยาอี

เมื่อชัยวับ เอ๊ย!!! กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์พูดจบ ทุกคนต่างเงียบกริบ ไม่มีการพูดอะไรกัน วุฒิไกรยังคงอายต่อไปจนลงไปกลิ้งที่พื้น กลิ้งไปมาจนจะเข้าเตาผิงอยู่แล้ว เสียงของกริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์ก็ดังขึ้นอีก : กิจกรรมที่เราจะทำอย่างแรกคือ เกม…”สนัง บรึงฃ์เปรี๊ยะ” กติกาก็คือ ทุกคนจะต้องอยู่เงียบๆ ห้ามส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่ส่งเสียงเป็นคนแรกจะถูกทำโทษ
ซารา : ชื่อเกมว่าอะไรนะ ?
กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์ : จำไม่ได้โว้ย…กลับไปอ่านเอง
ซารา : ชัยวับโม้นี่หว่า ตั้งชื่อมั่วๆ
กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์ : แล้วแกมันดีนักเรอะ อีสันหลังยาว
เฮ้ย!!! บอกว่าให้เรียกว่ากริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์โว้ย!!!พูดไม่รู้เรื่องรึไง
มอญ : แล้วใครคือชัยวับล่ะเนี่ย ? งง
“เริ่มเกมได้”
ทั้งห้องส่งเสียงเงียบกริบ
เห่าไหมนี่ : คนเขียนอย่าเขียนมั่วสิวะ ส่งเสียงเงียบกริบได้ไง เงียบกริบน่ะ ต้องไม่ส่งเสียงเฟ้ย!!!
ก็ได้…เอาใหม่…ทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีการส่งเสียง
วุฒิไกรยังคงกลิ้งอยู่ที่พื้นต่อไป ซาราสังเกตได้ว่าพื้นสะอาดไปแล้ว ส่วนมอญ วิสกี้ย์ทำหน้าเบื่อและหยิบหนังสือบนชั้นมาเล่มหนึ่งแล้วเปิดอ่านในใจ
มอญ : “Biography of Sarayutah Princes”
“มาจะกล่าวบทไปถึงสมใจเสาวนีย์ แห่งกรุงรัตนาวดี
มีราชบุตรนามซารายูทาห์
เจ้าชายเติบโตขึ้นมา ได้เจ็ดพรรษา
เริ่มมีพฤติกรรมแปลกปลอม
เริ่มปากหมาปากมอม เอาแต่ใจไม่ยอม
เชื่อฟังพระราชบิดา
เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่า สามวันต่อมา
เริ่มเป็นอีแรดกระเทย
พ่อแม่ก็ยังเมินเฉย ซ้ำยังชมเชย
ลูกชายมีเพศเปลี่ยนไป
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วไว สองวันผ่านไป
แอบชอบชายงามนามปาล์ม
ซารายูทาห์เป็นเพศที่สาม มีจิตใจทราม
อยากไปแปลงเพศเร็วๆ
กล่าวถึงชายงามชื่อปาล์ม มีความงดงาม
อ้วนเตี้ย(…)จัญไร
ทะลึ่งติดเป็นนิสัย ไม่มีคนไว้ใจ
ที่สำคัญนั้นชอบกระเทย
แต่ประชาชนเมินเฉย ไม่เค๊ยไม่เคย
เพราะปาล์มนั้นเป็นเจ้าชาย
แห่งเมืองไซฉักสักชัย วิจิตรวิลัย
ปกครองบ้านเมืองเจริญ
จนได้รับการเชื้อเชิญ เก๊งเก่ง…เหลือเกิน
ได้เป็นมหาราชราชันย์
มีพระมารดา”เครือวรรณ” งดงามผิวพรรณ
ผุดผ่องดังทองในส้วม
อาณาจักรราชาทรงรวม มงกุฏสง่าใส่สวม
นามแกล้วกล้ามหาราชันย์…”
…………..
มอญ วิสกีย์ทำหน้าเซ็งเพราะไม่ชอบวิชาชีวประวัติ เขาปิดหนังสือวางไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างตัว พลางหันไปเห็นพื้นที่สะอาดไร้ฝุ่น ที่นั่งเตาผิงมีวุฒิไกรนอนกลิ้งอยู่
ซาราเกิดปวดตดขึ้นมาทันใดเพราะก่อนมาได้กินสะตอ ลูกเนียง และถั่วต้ม
ซารารู้ว่าห้ามทำให้เกิดเสียงแม้แต่นิดเดียวเพราะจะทำให้แพ้และถูกทำโทษ จึงอั้นตดไว้และพยายามทำหน้าให้สดใสกลบเกลื่อนความปวดตด
ตดของซารากำลังจะออกมาด้วยความเร็วสูง(ตอนนี้ตดในไส้หนาแน่นมาก)
ซาราเริ่มกั้นไม่ไหว ตดจะออกแล้ว ใกล้แล้ว!!!…ใกล้แล้ว!!!…ไม่ไหวแล้ว…
ซาราทำหน้าเกร็งเต็มที่ ไม่ไหวแล้ว!!!!!!!!!
“โอ้ย!!!…ไคผักอ่ะ”
ทุกคนหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน เห็นวุฒิไกรลนลานออกมาจากหน้าเตาผิงโดยที่กางเกงติดไฟ
เสียงของชัยวับ เอ๊ย!!! กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์ ก็ดังขึ้น “เราได้ผู้แพ้แล้ว
วุฒิไกรต้องถูกทำโทษ จบเกม!!!”
มอญหันไปหาวุฒิไกรแล้วด่า”ไอ้บ้า ใครเค้าผลักแก ดูบ้างสิ ไม่มีใครอยู่ข้างแกเลย ก็แกอายจนกลิ้งเข้าไปเอง ไอ้บ้า”
ซารา : ไอ้บ้า!!!
เห่าไหมนี่ : ไอ้บ้า!!!
กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์ : ไอ้บ้า!!!(แถม)
บึ้ม!!!
ซาราระเบิดตด เสียงตดทำให้หน้าต่างแตก ของบนชั้นตกลงมามากมายกองอยู่ที่พื้น แรงตดทำให้ไฟในเตาผิงดับ รวมทั้งไฟที่ตูดวุฒิไกรด้วย
ทั้งห้องเงียบกริบ หลังคาของห้องเปิดออก มีมือไฟฟ้าลึกลับมาจับตัววุฒิไกรไป
กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์ : วุฒิไกรจะต้องถูกทำโทษ กติกาของเรากำหนดไว้ว่าการทำโทษจะถูกประยุกต์ตามบุคคล ดังนั้น การทำโทษของวุฒิไกรคือ!!!
ซารา : คือ…
มอญ : คือ…
เห่าไหมนี่ : คือ…
กริฟฟินดอร์(ขาด) : คือ…โว้ย!!! จะพูดตามกันทำอึ่งอ่างหรือวะ การถูกทำโทษก็คือ…การถูกจับมัดไว้กับเสา ให้คนบีบสิวเป็นเวลาสามชั่วโมง
หลังจากชัยวับ เฮ้ย!!! ไม่ใช่ว้อย!!! กริฟฟินดอร์(ขาด)บราเธอร์พูดจบ ทั้งห้องก็นอนเป็นลมด้วยกลิ่นลูกเนียง ถั่วต้ม และสตอ



แสงแดดยามเช้าส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ซาราตื่นขึ้นมาดูตารางสอนและหยิบหนังสือ เพื่อจะไปเรียนวิชาปรุงยา ซาราและเพื่อนๆเดินออกมาจากบ้านตามๆกันมา
ซารารู้สึกอะไรสักอย่าง ใช่ มีคนหายไปหนึ่งคน ซารามองซ้าย มองขวา ก็ไม่รู้ว่าใครหายไป เอ๊ะ!!! แต่มองอีกทีเห็นกลุ่มคนกำลังมุงดูอะไรสักอย่าง ซาราเดินเข้าไปแหวกฝูงคนที่ยืนมุงเหมือนแมลงวันตอมสิวบนหน้า ซาราพบว่าคนพวกนี้กำลังรุมบีบสิววุฒิไกรซึ่งถูกมัดไว้กับเสา ซาราเห็นก็อยากเข้าไปร่วมแจมด้วย จึงบีบไปห้าเศษสี่ส่วนแปดเม็ด และเดินไปเรียนต่อ

สภาพของห้องเรียนที่โกโรโกโส เหมือนห้องน้ำบ้านซารา ทำให้ซาราเรียนได้อย่างไร้อารมณ์ คนสอนไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นศาสตราจารย์เสนปนั่นเอง เฮ้ย!!! ไม่ใช่โว้ย มันชื่อ เส-นป ต่างหาก
ซารา : จะไม่มีการโบกไม้ตะเกียบและร่ายเวทย์มนต์ในชั้นเรียนนี้!!!
เสนป : โว้ย!!! คำพูดนั้นตูต้องพูดโว้ย มาแย่งตูพูดอีก อีตุ๊ด!!!
ซารา : งั้นเอาใหม่
เสนป : ไม่ต้องแล้วเฟ้ย!!! วันนี้เราจะมาทำยาอีกัน
ซารา : อีอะไรคะ ?
เสนป : อีตุ๊ด!!!
เสนปเงียบไปยี่สิบนาทีเหมือนลืมบทพูดและนึกขึ้นพูดต่อว่า
เสนป : เปิดหนังสือหน้า48
ซาราและคนอื่นๆก็พากันเปิดหนังสือตามที่เสนปบอก ซาราพบว่าหน้า48ของตนถูกดึงขาดไป จึงต้องดูของเหาไหมนี่ ใช่แล้ว…วุฒิไกรดึงไปเช็ดก้นเพราะกระดาษทิชชู่ในห้องน้ำหมด

เสนป : ยาอี เป็นยากล่อมประสาท ที่จะทำให้ชาย100%กลายเป็นเกย์ และหญิง
100%กลายเป็นเรสเปี้ยนส์ ซึ่งยาอีนี้มีชื่อเต็มๆว่า”อีโวเลทติ้งไซยาโนไฟต้าส์ ออฟ อัลกาเตลิซึมคลอไรด์ แอ๊บซิ่งสไปรัล ไบอัลเตโช่ แอลคาธี่ลาซิส”
มอญ : อาจารย์ครับ แล้วเกย์กับกระเทยมันต่างกันยังไงครับ แล้วอย่างไอ้ซารานี่เค้าเรียกว่าอะไรเหรอครับ
เสนป : ไอ้ซารานี่เค้าเรียกกระเทย คือ ชายที่อุบาทว์จะเป็นหญิง
ซาราได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธมากแล้วตะโกนเสียงกระเทยว่า
ซารา : ปากหมา!!!ชั้นไม่ใช่กระเทยนะยะ แต่ชั้นเป็นกระเทยควาย!!!
ซารารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเสนปตั้งแต่วันนี้แหละ
เสนป : ให้ทุกคนปรุงยาอีหนึ่งหลอดทดลองมาส่งท้ายคาบ ไม่มีข้ออ้างเฟ้ย!!!
ซาราก้มอ่านข้อมูลในหนังสือ ซึ่งเขียนไว้ว่า “ยาอี มีส่วนผสมที่สำคัญสามอย่างนั่นก็คือ
1.หัวสิว
2.น้ำลายคนเชื้อชาติศรีษะเกศ
และ 3.ความหน้าด้านของคนทำ
วิธีทำก็ง่ายๆ บดทุกอย่างให้เข้ากัน ผสมน้ำสามส่วนต่อส่วนผสมหนึ่งส่วน นำมากรองแยกกากและกินได้เลย”
ใช่แล้ว!!! จอร์จมันยอดมาก ส่วนผสมไม่ได้หายากเลยสักนิด แต่อยู่แถวๆนี้แหละ ซาราคิดว่าคงทำได้สบายเพราะถึงอย่างไรส่วนผสมอย่างสุดท้ายซาราก็มีแล้ว ซาราเดินออกมาจากห้องเพื่อหาส่วนผสม และนึกได้ว่าส่วนผสมที่เหลือ อยู่ที่วุฒิไกรนั่นเอง
ทุกคนในชั้นเรียน : อะไรนะ!!! อยู่ที่ไอ้ใบ้นั่นนะเหรอ
ซารา : เฮ้ย!!! อย่าแอบกลับไปอ่านหน้าเมื่อกี้ดิ่ แกเป็นตัวละครในเรื่องนะโว้ย!!!
ทุกคนในชั้นเรียน : เออ…ลืมไป
เมื่อทุกคนรู้ที่มาของส่วนผสม จึงพากันวิ่งไปที่ห้องโถง ซึ่งมีเสาที่มัดวุฒิไกรเอาไว้ คนนับร้อยพยายามแหวกฝูงคนเข้าไปแย่งบีบสิววุฒิไกร ด้วยการที่ซาราเป็นกระเทยควาย จึงสามารถเบียดเข้าไปได้ง่าย
ซาราลงมือบีบสิวเม็ดที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าผากวุฒิไกรก่อน แล้วเอาหัวสิวใส่กระเป๋าเสื้อไว้ ความชุลมุนเบียดเสียดทำให้บีบได้ยากมากเพราะที่หน้าวุฒิไกรมีมือนับร้อย มารุมบีบสิว
สองชั่วโมงต่อมา ซารากลับมาที่ห้องเรียนปรุงยาพร้อมกับหัวสิวที่ใส่เต็มกระเป๋าเสื้อและยังมีที่ล้นออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีก
ซาราดีใจมาก แต่…ซาราลืมอะไรไปหนึ่งอย่าง ใช่…น้ำลายไง… ซารารู้ดีว่าคนเชื้อชาติศรีษะเกศที่อยู่ใกล้ที่สุดคือวุฒิไกร จึงหยิบมีดปอกมะม่วงมาหนึ่งอันเพื่อบังคับให้วุฒิไกรถุยน้ำลายให้ ซาราพยายามแทรกฝูงคนเข้าไปหาวุฒิไกรที่ถูกมัดอยู่ที่เดิมและพยายามเอามีดตัด เชือกที่มัดวุฒิไกรไว้ แต่ซาราลืมไปว่ามีดที่หยิบมาเป็นมีดปอกมะม่วง ซึ่งซ่อนคมไว้ด้านใน จึงตัดเชือกไม่ขาด ซาราขยับมีดไปมาอยู่นานจนเกิดความร้อนและไฟไหม้เชือกที่มัดวุฒิไกร อ้าว!!! อย่างนี้วุฒิไกรก็ถูกย่างล่ะสิ
ผู้คนที่มาบีบสิววุฒิไกรต่างวิ่งหนีกันใหญ่ ปล่อยให้วุฒิไกรโดนไฟลุกอยู่คนเดียว ซาราคิดว่า กลิ่นหัวสิวย่างไฟช่างหอมยั่วยวนซารายิ่งนัก
ซารารีบวิ่งไปเอาน้ำมาดับไฟ แต่…ซารารู้สึกแปลกๆ
ตูม!!!
ฤทธิ์ของลูกเนียง ถั่วต้ม และสตอจากตอนที่แล้วยังไม่หมด ซาราจึงระเบิดตดออกมาซะตูดบาน ไฟจึงดับลงด้วยดี แถมคนรอบข้างยังนอนสลบซะด้วย
วุฒิไกรยังคงซวยหนักกว่าใคร เนื่องจากชอบก้มมองตูดคนอื่น จึงสูดกลิ่นตดไปเต็มๆ
วุฒิไกรสลบลงไป โดยที่ลูกตาทะลักออกมา เฮ้ย!!! น้ำลายฟูมปากด้วย
ซาราดีใจมากจึงตักฟองน้ำลายของวุฒิไกรไปใช้เป็นส่วนผสมของยาอี และซาราก็วิ่งหนีไป
สามชั่วโมงต่อมา เมื่อทุกๆคนฟื้นจากลมตดของซารา ต่างก็มองไปที่วุฒิไกรพร้อมกันและทำตามซารา
วุฒิไกร : เฮ้ย!!! อย่างนี้ตูก็ตายซิฟะ
คนเขียน : ก็มันเป็นบทของแกนี่หว่าไอ้หน้าสิว
เสียงตดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วหอนวอกราวกับปืนกล ซารานับได้สองร้อยนัด ต่อนาที กลิ่นตดเหม็นไปทั่วโรงเรียน

ท้ายชั่วโมงปรุงยา
เสนป : ให้ทุกคนเอาน้ำยามาส่งเดี๋ยวนี้!!!
ซาราเดินเข้าไปคนแรกแล้วยื่นให้
เสนป : ต้องทดสอบให้ดูก่อนว้าใช้ได้จริง
นักเรียนทุกคนต่างกรอกน้ำยาเข้าปาก พระเจ้าช่วย!!! ทั้งห้องกลายเป็นเกย์และเลสเปี้ยนส์ เหวอ!!! อุบาทว์ที่สุด นักเรียนต่างพากันกอดจูบเพศเดียวกันเอง บางคนเป็นหนักถึงกับถอดเสื้อผ้าวิ่งไล่เพื่อน ที่รู้ๆว่าเสนปวิ่งหนีไปแล้ว
หนึ่งนาทีต่อมา สายฟ้าสายแรกก็ผ่าลงมากลางห้อง และเริ่มผ่าถี่ขึ้นๆๆๆๆๆ
ถึงนักเรียนบางคนโดนฟ้าผ่า ก็ยังคงXXXกันต่อไป
ตอนนี้ซาราเป็นไงนะเหรอ ก็เข้าไปร่วมด้วยไง จนกลายเป็นที่ผลิตฟ้าผ่าไปแล้ว
หลังจากที่โรงเรียนเป็นที่ผลิตกระแสไฟฟ้าอยู่นานหกวัน เมื่อยาหมดฤทธิ์ ฟ้าก็เลิกผ่า แต่ถึงยังไงนักเรียนบางคนก็ยังมีฤทธิ์ยาอยู่บ้าง แหม…ช่างปรุงยากันเก่งจริงๆ ก็ทำไมน่ะเหรอ ยาปกติ 1 ช้อนชามีฤทธิ์ 3 ชั่วโมง แต่นี่มันปรุงกินกันเป็นถังๆ ท่าจะบ้า!!!
ซาราและเพื่อนๆเพลียและหมดแรงกันมากจึงกลับไปที่บ้านกริฟฟินดอร์(ขาด) เพื่อจะไปนอนพัก
เมื่อถึงบ้านกริฟฟินดอร์(ขาด) ซารา มอญ และเห่าไหมนี่ ล้มตัวลงนอนที่โซฟาหน้าเตาผิงตัวเดิม ซาราง่วงมาก จะหลับมิหลับแหล่ แต่แล้วก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น
มาแล้วจ้า!!  “สารพัดวิธีมองโลกในแง่ดี”

 เด็กดีดอทคอม :: มองโลกในแง่ดี แบบขำขำ ภาคจบ
                 นิสัยไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น >> มิน่าถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย

                
ติดเกมงอมแงมเสียการเรียน แต่เลิกไม่ได้ >> พูดท้าทายตัวเอง เช่น "เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง ลองทำงานหรือเรียนให้สนุกเหมือนเกม ทำได้หรือเปล่า"

                
ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่าง >> รู้สึกกังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย หายใจเข้าออกลึกๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก"

                
ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วย หมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัดๆ >> ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาวๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณครับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที

                
เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ >> ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น"เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆ แต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า แต่เล็บมือด๊ำดำ ว๊า! หมด ท่าเลย สังเกตดูเสื้อสก๊อตสีน้ำเงิน ดูดีๆ ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่นๆ มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง เป็นต้น

                
เป็นคนขึ้อายมากเวลาคุยกับใครจะม้วนไปม้วนมา >> เป็น เฉพาะเวลาคุยกับหนุ่มๆ ใช่ไหม ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเรา แม่รู้สึกยังไงกับลูกล่ะ เอ็นดูใช่ไหม สงสารใช่ไหม ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกับใครง่ายๆ ความอายจะหายไป
เด็กดีดอทคอม :: มองโลกในแง่ดี แบบขำขำ ภาคจบ
                 มีคนใส่ร้ายทำให้เราโกรธมากจนนอนไม่หลับ >> เขา ทำความชั่วเขาก็จะได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก

                
ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา >> โดด เรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ มันก็ดีเหมือนกันนะ แต่ทว่ามันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อยไป หนีหน้าคน หนีการงาน หนีความรับผิดชอบ ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย! จะ ไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ เพื่อวันข้างหน้าสบาย

                 
ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับทำไมผู้ใหญ่ชอบบังคับกันเรื่อย >> ถ้าไม่อยากให้รู้สึกว่ามีคนมาบังคับ ก็ต้องทำอะไรด้วยเหตุผลของตัวเอง เช่น แม่สั่งให้เก็บที่นอนทุกเช้า เราก็คิดว่า "ที่เราทำไม่ใช่เพราะกลัวแม่ด่า แต่เพราะเห็นว่ามันเป็นระเบียบเรียบร้อยดีต่างหาก" , พ่อ บังคับไม่ให้เราไปเที่ยวไหนในวันหยุด เราก็คิดว่า “ที่เราไม่ไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อดุ แต่เพราะเราต้องการจะฝึกตัวเองให้เข้มแข็งต่างหาก" ฯลฯ

                
เป็นโรคหัวใจเข้าใกล้คนหล่อๆ ทีไรหวั่นไหวทุกที >> เวลา เข้าใกล้คนหล่อ ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น ขนจมูกของเขา ขี้หู ขี้ตา รังแค ฯลฯ คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ไม่เชื่อก็ลองดูสิ

                
เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้วมีเหลือแต่เรา "เหงา" อยู่คนเดียว >> คิดมุมกลับ " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย้!"

อ้างอิง: http://www.dek-d.com